อ.อากาศบริสุทธิ์ เพิ่มภูมิต้านทานโรค


อากาศ ก็คือ ลมหรือสิ่งที่เราหายใจเข้าออกเป็นประจำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้
อากาศแบ่งเป็น อย่าง คือ อากาศเสีย กับ อากาศบริสุทธิ์ 
อากาศเสีย คือ อากาศที่มีพิษเจือปน ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการหายใจ
อากาศบริสุทธิ์  คือ อากาศที่ปราศจากพิษเจือปน มีความสะอาด สดชื่น เหมาะ
สำหรับการหายใจ
          ความสมดุลของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
            ธรรมชาติ  ใช้เวลายาวนานกว่าที่ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมจะมีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่มีชีวิตต่างๆทั้ง คือ มนุษย์ สัตว์ พืช  จุลินทรีย์  ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ  ล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงอยู่ตามปกติ  ตัวอย่างของความสมดุลในธรรมชาติ  เช่น
1. คน และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนจากอากาศเข้าไปเพื่อการดำรงชีวิต และขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกทิ้งเวลาหายใจออก ต้นไม้สามารถนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้ไปใช้ในการเจริญเติบโต และจะขับออกซิเจนออกมาเพื่อเวียนไปเป็นประโยชน์แก่มนุษย์  สัตว์  และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ต้องใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิต
2.คนและสัตว์จำนวนมาก กินพืชหรือผลผลิตของพืชเป็นอาหาร แล้วขับถ่ายของเสีย (อุจจาระ ปัสสาวะ) ออกมาเป็นปุ๋ยให้พืชนำไปใช้ประโยชน์  เมื่อคนและสัตว์ตายแล้วเน่าเปื่อย ธาตุและสสารต่างๆในร่างกายจะกระจายออกไปเป็นประโยชน์แก่สิ่งอื่นๆ วนเวียนกันอยู่เช่นนี้เรื่อยไป  และเป็นไปอย่างสมดุล
แต่หากธรรมชาติถูกรบกวนมาก สมดุลนี้ก็จะเสียไป และเกิดผลเสียอันไม่พึงปรารถนาขึ้น เช่น ถ้ามีการทำลายต้นไม้ ความชุ่มชื้นก็จะหมดไป ทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง และเมื่อฝนตกหนัก ก็จะไม่มีต้นไม้คอยซับน้ำและกั้นน้ำไว้  จึงเกิดน้ำไหลบ่าท่วมทำลายไร่นาและบ้านเรือน  การทำลายป่าจึงนำไปสู่ความพินาศของชีวิต พืชและคน
ระบบนิเวศวิทยาที่เป็นไปอย่างสมดุล  สิ่ง มีชีวิตที่อยู่ร่วมกันนั้นจะพึ่งพาอาศัยกันเป็นทอดๆ แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรใดๆขึ้นอย่างไม่สมดุล ระบบนิเวศนี้เริ่มถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ  การที่ ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละปี ได้ส่งผลให้ธรรมชาติอื่นๆ เช่น พืชและสัตว์ก็ถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้นๆ จึงเกิดการทำลายธรรมชาติอื่นๆมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  เช่น การทำลายป่า การทำลายสัตว์จนสัตว์บางอย่างสูญพันธุ์และสัตว์อีกหลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ นอกจากนั้น ยังก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเป็น เช่น มลภาวะทางน้ำ  ดิน  อากาศ  ซึ่งล้วนเป็นอันตรายแก่มวลมนุษย์ สัตว์ พืชทั้งหมด
สิ่งต่างๆ ข้างต้น จะเห็นได้ชัดในเมืองใหญ่ๆ ที่มีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่รวมกัน  จะเกิดสภาพแออัดยัดเยียด  อากาศอบอ้าวจากการสร้างสิ่งกีดขวางทางลม  อากาศไม่ชุ่มชื้นบริสุทธิ์เพราะขาดต้นไม้  นอกจากนั้น การที่ผู้คนมาอยู่รวมกันมากๆ ยังก่อให้เกิดมลภาวะในสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น  เช่น  การ ปล่อยของโสโครกลงสู่แม่น้ำลำคลอง การใช้รถยนต์และเครื่องยนต์ที่ปล่อยควันเสียซึ่งเป็นพิษ การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันและสารพิษต่างๆ เช่น ปรอท ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม  ทำให้สารพิษดังกล่าวปนเปื้อนสู้พืช สัตว์ และคน  นอกจากนั้น  สภาพของชีวิตในเมืองยังเต็มไปด้วยความเร่งรีบ การแก่งแย่ง และความโลภ  ล้วนเป็นเรื่องที่บั่นทอนสุขภาพทั้งกายและใจ  ทำให้มนุษย์ยึดหลักการใช้คุณธรรมลดลง  ตรงกันข้าม  ในชนบท ชาวบ้านมีชีวิตอยู่ใกล้ธรรมชาติ ไม่แออัดยัดเยียด  อากาศโปร่งบริสุทธิ์และชุ่มชื้น  เพราะ มีต้นไม้และป่า สิ่งแวดล้อมก็ไม่เป็นพิษ ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบแก่งแย่งกันเหมือนในเมือง จึงมีเวลาที่จะสนใจและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันมากกว่าสังคมเมือง  มี โรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจน้อยกว่าผู้คนใน สังคมเมือง เช่น โรคประสาท โรคจิต โรคหัวใจ และโรคมะเร็งเท่ากับคนในเมือง
อันที่จริง คนในเมือง ถ้ารู้จักจัดสภาพแวดล้อมเสียใหม่ให้ดี ก็จะสามารถมีสุขภาพดีเหมือนคนชนบทได้ เดี๋ยวนี้เห็นคนในเมืองหันมาสนใจเรื่องของสุขภาพมากกว่าคนในชนบทด้วยซ้ำ รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หมั่นออกกำลังกายมากขึ้น ก็น่าจะหันมาสนใจเรื่องของสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น อากาศ บ้าง ก็จะมีผลดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ในปัจจุบัน  ผู้คนในสังคมเมืองจะมีกระแสของการดูแลรักษาสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงการออกกำลังกาย  แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังขาดคนที่เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม  แม้ว่าผู้คนจะรักษาสุขภาพมากขึ้น แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะและส่งผลเสียมายังสุขภาพได้นั่นเอง         
การใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่สุขภาพ
ธรรมชาติจะเป็นประโยชน์ต่อคนได้ก็ต่อเมื่อคนพยายามถนอมบำรุงธรรมชาติไว้โดย
1.พยายามอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและอยู่อย่างธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น อยู่ห่างไกลจากเสียงอึกทึก  ถ้าอยู่ในเมือง ควรจะช่วยกันส่งเสริมและสร้างสวนสาธารณะเพื่อให้ตนและบุตรหลานได้มีโอกาสพักผ่อนใกล้ชิดกับธรรมชาติ
2.ไม่ทำลายต้นไม้โดยไม่จำเป็น  ควรจะช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และช่วยกันถนอมป่าไว้
3.ไม่ทิ้งสิ่งโสโครกจากบ้านเรือน หรือจากโรงงานลงในแม่น้ำลำคลอง
4.ลดการใช้รถยนต์และเครื่องยนต์ ที่เป็นสาเหตุของทางเสียงและอากาศ
5.พยายามกินอยู่อย่างประหยัด อย่ากินอย่าใช้เกินกว่าจำเป็น จะได้ถนอมทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานต่อไป และยังเป็นการป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษด้วย
6.ไม่ควรอยู่ใกล้และไม่ควรให้มีโรงงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่ตนอาศัยอยู่ เป็นต้น ถ้าดำเนินชีวิตอย่างนี้ได้ สุขภาพจะดีขึ้น  เพราะได้ใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อม โดนเฉพาะอย่างยิ่งได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น
ที่มา : http://www.piakpatihan.com

Categories:

Leave a Reply

    Blogger news

    Blogroll

    About