เมื่อพูดถึงวิตามินซี หลายคนคงนึกถึงผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างเช่น ส้ม มะนาว มะขามป้อมและอีกมากมายที่รู้กันมาว่าช่วยป้องกันและบรรเทาอาการหวัด บางคนอาจนึกไปถึงวิตามินซีแบบที่ผลิตเป็นเหมือนยาเม็ดสีส้มหรือสีเหลืองมีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน

          ในความเป็นจริงแล้ว วิตามินซีนั้นนอกจากช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดโดยทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% และช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายต่อสุขภาพ ที่สำคัญก็อย่างเช่น

          ช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

          oช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว

          oช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรงโดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

          oช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจโดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยจะไปช่วยลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

          ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

          oช่วยป้องกันไมเกรน ช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาท

          oช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

          การรับประทานวิตามินซีในภาวะปกติ

          ปริมาณที่แนะนำอยู่ที่60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีควรรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนคนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ500 มิลลิกรัม ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะวิตามินซีสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ

          แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซีปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium และอาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้นอกจากนี้ วิตามินซียังทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะที่ร่างกายได้รับแร่ธาตุเหล็กเกินความจำเป็นได้อีกด้วย

ที่มา : http://www.thaihealth.or.th

Categories:

Leave a Reply

    Blogger news

    Blogroll

    About